ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา “อวกาศ” ถูกมองว่าเป็นเวทีของนักวิทยาศาสตร์ นักบินอวกาศ และองค์กรสำรวจอย่าง NASA หรือ ESA แต่ในศตวรรษที่ 21 ความจริงกำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อวกาศกลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานแห่งยุคดิจิทัล” ที่อยู่เบื้องหลังทุกระบบในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ GPS ในสมาร์ทโฟน การสื่อสารดาวเทียม การนำทางเครื่องบิน การจัดการภัยพิบัติ ไปจนถึงระบบข่าวกรองทางทหาร พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ อวกาศคือพื้นที่ใหม่ของอำนาจ ความมั่นคง และผลประโยชน์แห่งชาติ ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น อินเดีย รวมถึงยุโรป ต่างประกาศยุทธศาสตร์อวกาศระดับชาติ เพื่อรักษา “Space Superiority” ความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในอวกาศ ที่มีผลโดยตรงต่อความมั่นคงบนพื้นโลก
สำหรับประเทศไทย
โดยเฉพาะ กองทัพอากาศ
ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับ
“มิติอากาศ และอวกาศ” นี่คือเวลาที่ต้องก้าวทันโลก และยกระดับความเข้าใจว่า
“อวกาศไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่คือแนวป้องกันชั้นใหม่ของชาติ”
อวกาศกับความมั่นคง จากยุทธศาสตร์โลกสู่ความท้าทายของไทย
ในอดีต
สนามรบของมนุษย์มี 4
มิติหลัก บก ทะเล อากาศ และไซเบอร์ แต่ในปัจจุบัน “อวกาศ”
ได้ถูกยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็น โดเมนที่ห้า (Fifth Domain of Warfare) องค์การ NATO ได้ประกาศตั้งแต่ ปี 2019 ว่าอวกาศเป็นขอบเขตปฏิบัติการด้านความมั่นคงโดยสมบูรณ์
เพราะกิจกรรมในอวกาศสามารถกำหนดผลแพ้ชนะของสงครามได้ ตัวอย่างชัดเจนคือการใช้ดาวเทียมสื่อสารและดาวเทียมสังเกตการณ์ของ
Starlink และ Maxar ในสงครามรัสเซีย–ยูเครน
ซึ่งช่วยให้ยูเครนรักษาการสื่อสารและได้ข้อมูลภาพถ่ายเชิงยุทธศาสตร์แบบเรียลไทม์
แม้โครงสร้างภาคพื้นดินถูกโจมตี นี่คือตัวอย่างที่พิสูจน์ว่า
“ใครครองข้อมูลจากอวกาศ คนนั้นครองเกมบนโลก”
อวกาศในบริบทภูมิภาคเอเชีย การแข่งขันและการสร้างศักยภาพ
ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หลายประเทศได้ยกระดับขีดความสามารถด้านอวกาศไปไกลมาก
· จีน มี People’s Liberation Army Strategic Support Force (PLASSF) รับผิดชอบด้านอวกาศ ไซเบอร์ และอิเล็กทรอนิกส์โดยตรง
· ญี่ปุ่น ตั้ง Japan Aerospace Defense Unit เพื่อคุ้มครองดาวเทียมและป้องกันภัยคุกคามจากอวกาศ
· อินเดีย มีหน่วย Defense Space Agency และโครงการจรวดทางทหารเชื่อมโยงกับ ISRO
· เกาหลีใต้ และ ออสเตรเลีย ต่างลงทุนในดาวเทียมลาดตระเวน ระบบ ISR (Intelligence, Surveillance, Reconnaissance) และระบบ early warning
การเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนว่า
“อวกาศคือสมรภูมิใหม่ของการป้องกันประเทศ” และหากประเทศไทย
ไม่เร่งพัฒนา อาจต้องพึ่งพาข้อมูลจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเสี่ยงต่อความมั่นคงระยะยาว
บทบาทของอวกาศต่อความมั่นคงของไทย
ประเทศไทยอยู่ในภูมิภาคที่มีผลประโยชน์ทางทะเล อากาศ และเศรษฐกิจจำนวนมาก เช่น พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษทางทะเล (EEZ), เส้นทางการบินระหว่างประเทศ, และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งทั้งหมดล้วนต้องอาศัยข้อมูลจากอวกาศ
·
ระบบนำทางและระบุตำแหน่ง (PNT: Position,
Navigation, Timing)
สนับสนุนการบิน การเดินเรือ และระบบทหารทั้งหมด
·
การสังเกตการณ์จากดาวเทียม (Earth
Observation)
ใช้ตรวจจับภัยธรรมชาติ น้ำท่วม การเคลื่อนไหวของกำลัง
หรือการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม
·
การสื่อสารทางทหารและการสื่อสารฉุกเฉิน (Satellite
Communications)
จำเป็นอย่างยิ่งเมื่อโครงสร้างภาคพื้นถูกตัดขาด
การไม่มีระบบเหล่านี้ในประเทศเอง หรือไม่มีศักยภาพในการป้องกันการถูกรบกวน (jamming/spoofing) เท่ากับความมั่นคงของเราพึ่งพาคนอื่น
ทำไมกองทัพอากาศไทยต้อง “ก้าวให้ทันโลก”
กองทัพอากาศไทยมีพันธกิจโดยธรรมชาติในการครอบคลุม
“มิติอากาศ” ซึ่งต่อเนื่องไปจนถึง
“ชั้นอวกาศต่ำ” (Low
Earth Orbit) พื้นที่ที่ดาวเทียมจำนวนมากปฏิบัติการอยู่ ดังนั้น
การก้าวเข้าสู่อวกาศจึงไม่ใช่การขยายขอบเขตแบบสุ่ม แต่เป็น “วิวัฒนาการที่จำเป็น”
เพื่อให้ภารกิจการป้องกันประเทศยังคงทันสมัย
1. การรับรู้สถานการณ์อวกาศ (Space Situational Awareness – SSA)
กองทัพยุคใหม่ต้องมีขีดความสามารถในการ “มองเห็น” สิ่งที่เกิดขึ้นในอวกาศ เช่น การเคลื่อนที่ของดาวเทียม การชนกันของวัตถุ หรือการโจมตีทางอิเล็กทรอนิกส์
SSA คือระบบข้อมูลที่รวบรวมจากเรดาร์ กล้องโทรทรรศน์ และฐานข้อมูลต่าง ๆ เพื่อรู้ว่าใครกำลังทำอะไรในวงโคจร ซึ่งเป็นพื้นฐานของการวางยุทธศาสตร์อวกาศ
2. การสื่อสารดาวเทียมของกองทัพ (Military SATCOM)
ในยุคที่การสื่อสารคือหัวใจของทุกภารกิจ
กองทัพอากาศจำเป็นต้องมีดาวเทียมสื่อสารเฉพาะทางที่ปลอดภัย เข้ารหัสได้
และทนต่อการรบกวนจากภายนอก
การพึ่งพาดาวเทียมพาณิชย์หรือสัญญาณต่างประเทศอาจเสี่ยงต่อการถูกสกัดกั้นหรือปิดกั้น
3. การใช้ข้อมูลจากอวกาศเพื่อข่าวกรองและยุทธการ (Space ISR)
ข้อมูลจากดาวเทียมสำรวจ (optical, radar SAR และ infrared) สามารถใช้วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกำลังทหาร เรือ หรือ เครื่องบินในภูมิภาค ในภาวะวิกฤติ ภาพจากดาวเทียมสามารถช่วยตัดสินใจได้รวดเร็วกว่าข่าวกรองภาคพื้นดิน
4. ความร่วมมือระหว่างประเทศและพันธมิตร
อวกาศเป็นพื้นที่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือ
เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลดาวเทียม การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่
การพัฒนามาตรฐานความปลอดภัย
กองทัพอากาศไทยสามารถเสริมขีดความสามารถได้ผ่านความร่วมมือกับ US
Space Force, JAXA, KARI หรือ Digital Economy Agency ภายในประเทศ
เทคโนโลยีอวกาศเพื่อความมั่นคงของชาติ
1. ดาวเทียมสำรวจและเตือนภัยล่วงหน้า
ดาวเทียม Earth Observation สมัยใหม่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ละเอียดถึงระดับ 30 ซม. และทำงานได้แม้ในสภาพอากาศปิด ข้อมูลเหล่านี้ใช้สำหรับตรวจจับภัยธรรมชาติ ความเคลื่อนไหวของเรือในน่านน้ำไทย หรือแม้แต่การบุกรุกชายแดน
นอกจากนี้ การพัฒนา “ระบบเตือนภัยล่วงหน้า” (Early Warning System) ยังช่วยให้สามารถตรวจจับการปล่อยขีปนาวุธหรือภัยทางอากาศได้ก่อนเกิดเหตุจริง
2. ระบบระบุตำแหน่งแห่งชาติ (National PNT System)
การพึ่งพา GPS ของสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียวมีความเสี่ยงต่อการรบกวน หลายประเทศจึงพัฒนาระบบ GNSS ของตนเอง เช่น GLONASS (รัสเซีย), BeiDou (จีน), Galileo (ยุโรป)
ประเทศไทยอาจพัฒนา “ระบบ PNT สำรอง” โดยใช้สัญญาณ multi-GNSS และ ground augmentation เพื่อให้การนำทางทางทหารและพลเรือนมีความมั่นคงสูง
3. ระบบขับเคลื่อนความรู้และบุคลากรอวกาศ
เทคโนโลยีอวกาศไม่อาจพัฒนาได้หากไม่มีบุคลากรที่เข้าใจทั้งด้านวิศวกรรม
ข้อมูล และยุทธศาสตร์
การสร้าง “ศูนย์การฝึกอบรมอวกาศ” ภายใต้กองทัพอากาศ
จะเป็นรากฐานสำคัญในการต่อยอดองค์ความรู้ภายในประเทศ
ความท้าทายและโอกาสของประเทศไทย
ความท้าทาย
1.
ข้อจำกัดด้านงบประมาณและเทคโนโลยีพื้นฐาน
การสร้างดาวเทียมหรือระบบสื่อสารต้องใช้ต้นทุนสูง
หากไม่มีความร่วมมือกับภาคเอกชนหรือพันธมิตร จะยากต่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
2.
กฎหมายและนโยบายอวกาศที่ยังอยู่ระหว่างพัฒนา
ประเทศไทยยังไม่มี “กฎหมายอวกาศแห่งชาติ”
ที่ชัดเจนในประเด็นสิทธิครอบครองวงโคจร และการใช้ประโยชน์ทางทหาร
3.
การบูรณาการระหว่างหน่วยงาน
ภาครัฐ ทหาร เอกชน และมหาวิทยาลัย ยังทำงานแบบแยกส่วน จำเป็นต้องมี
“ยุทธศาสตร์อวกาศร่วมชาติ”
โอกาส
1.
ศักยภาพด้านภูมิศาสตร์ของไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ซึ่งเหมาะกับการปล่อยดาวเทียม
และสามารถเป็น “ศูนย์กลางทดสอบ และติดตามดาวเทียม” ในภูมิภาค
2.
บุคลากรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น
มหาวิทยาลัยไทยหลายแห่งเริ่มเปิดหลักสูตร Space Technology และ Geo-informatics ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในอนาคต
3.
ภาคเอกชนและสตาร์ทอัพอวกาศไทยกำลังเติบโต
เช่น บริษัท Mu Space, GISTDA, และ
สตาร์ทอัพด้านดาวเทียม IoT ต่างเริ่มสร้างระบบดาวเทียมขนาดเล็ก
(CubeSat) ของตนเอง
แนวทางที่กองทัพอากาศควรมุ่งไป
1.
จัดทำยุทธศาสตร์อวกาศกองทัพอากาศ (RTAF Space
Strategy)
วางทิศทางระยะ 10–20 ปี เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติและเป้าหมายเศรษฐกิจอวกาศ
2.
ตั้งศูนย์บูรณาการข้อมูลอวกาศ (Space
Operations Center)
เพื่อบริหาร ข้อมูล สื่อสาร และการรับรู้สถานการณ์อวกาศ
ร่วมกับหน่วย SSA ระดับชาติ
3.
พัฒนาขีดความสามารถด้าน Space
Intelligence และ Cyber Defense
เพราะภัยอวกาศส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบ “การโจมตีทางอิเล็กทรอนิกส์”
มากกว่าการยิงจรวดจริง
4.
ผลักดันความร่วมมือกับภาคเอกชนและมหาวิทยาลัยในไทย
เพื่อพัฒนาดาวเทียมเล็ก โครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดิน
และนวัตกรรมอวกาศ
5.
ส่งเสริมการฝึกอบรมและพัฒนากำลังคนรุ่นใหม่
ผ่านหลักสูตรร่วมกับต่างประเทศ เช่น U.S. Space Force Space
100/200 หรือ โครงการฝึก ESA และ JAXA
“อวกาศ” คือสมรภูมิแห่งศตวรรษที่ 21
อวกาศไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของวิทยาศาสตร์ แต่คือ โครงสร้างพื้นฐานแห่งความมั่นคงของชาติในยุคต่อไป โลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุคที่ข้อมูลจากอวกาศ ดาวเทียม ระบบนำทาง และการสื่อสาร เป็นปัจจัยกำหนดพลังทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และความมั่นคง
หากประเทศไทยต้องการรักษาอธิปไตยทางอากาศและปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง
กองทัพอากาศต้องก้าวเข้าสู่ยุคอวกาศอย่างเต็มตัว
ไม่ใช่เพียงเพื่อ “แข่งขัน”
กับโลก
แต่เพื่อ “รักษาอนาคตของคนไทย” ในวันที่ความมั่นคงไม่ได้อยู่เพียงน่านฟ้าอีกต่อไป
แต่เป็น “แนวหน้าของความมั่นคงแห่งชาติด้านอวกาศ”
บทความโดย
ร.ท.พงศ์พิสุทธิ์ ปะโมนะตา