Blue Origin ประสบความสำเร็จในการนำอวกาศยานสำรวจ “ESCAPADE” ของนาซาเดินทางไปยังดาวอังคาร และนำจรวดนำส่ง “New Glenn”ลงจอดได้เป็นครั้งแรก

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 (ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐอเมริกา) บริษัท Blue Origin ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านอวกาศเชิงพาณิชย์ของ นายเจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos) ได้สร้างความสำเร็จสำคัญ
ครั้งใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอวกาศโลก โดยได้ใช้จรวดนำส่งขนาดใหญ่รุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า New Glenn
เพื่อส่งอวกาศยานสำรวจดาวอังคารขององค์การบริหารกิจการอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ NASA ภายใต้ชื่อรหัสภารกิจว่า ESCAPADE (Escape and Plasma Acceleration and Dynamics Explorers) ขึ้นสู่ห้วงอวกาศได้สำเร็จ และที่นับเป็นเหตุการณ์สำคัญ คือ สามารถนำบูสเตอร์ขั้นแรกของจรวดกลับมาลงจอดแบบตั้งฉากบนเรือกลางทะเลได้อย่างสมบูรณ์ ถือเป็นครั้งแรกของบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการลงจอดจรวดที่นำส่งขึ้นสู่ระดับวงโคจร (orbital-class rocket) หลังจากที่เคยทดลองลงจอดครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาแต่ไม่สำเร็จ

รายละเอียดภารกิจ

ภารกิจเริ่มต้นจากท่าอวกาศยานของบริษัท Blue Origin ที่ Cape Canaveral Space Force Station
รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเวลา 15.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น (20.45 น. ตามเวลามาตรฐานสากล) จรวด New Glenn ได้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อนำส่งอวกาศยานคู่สำรวจดาวอังคารขององค์การนาซา ซึ่งภารกิจดำเนินไปตามแผน โดยมีการตัดการทำงานของเครื่องยนต์หลัก (Main Engine Cutoff) และ การแยกชั้นของจรวด (Stage Separation) ประมาณ 3 นาทีหลังจากการนำส่ง

จรวดขั้นที่สองได้ดำเนินการส่งยาน ESCAPADE เข้าสู่วงโคจรตามกำหนด ขณะที่ บูสเตอร์ขั้นแรก
ของจรวด
ได้เริ่มทำการลดความเร็วและควบคุมทิศทางเพื่อกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลก จากนั้นได้ จุดเครื่องยนต์ BE-4 จำนวน 3 เครื่อง เพื่อชะลอความเร็วและควบคุมการลงจอด ก่อนจะ ลงแตะพื้นเรือบรรทุก “Jacklyn” ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งไปประมาณ 604 กิโลเมตรในมหาสมุทรแอตแลนติก ได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 9 นาทีหลังจากยกตัวขึ้นสู่อวกาศ

ภารกิจ “ESCAPADE” ขององค์การนาซา

ESCAPADE ย่อมาจาก Escape and Plasma Acceleration and Dynamics Explorers เป็นภารกิจ
ที่มีเป้าหมายเพื่อศึกษากระบวนการที่ ดาวอังคารสูญเสียชั้นบรรยากาศของตนเองไปสู่ห้วงอวกาศ
โดยอวกาศยานทั้งสองลำได้รับการออกแบบและสร้างโดยบริษัท Rocket Lab ให้กับ องค์การนาซา
และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (UC Berkeley)

  • อวกาศยานสำรวจจำนวนสองลำ มีชื่อว่า “Blue” และ “Gold” ตามสีประจำมหาวิทยาลัย
  • ทั้งสองลำยานจะทำการเก็บข้อมูลด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ 4 ชุดที่เหมือนกัน ทั้งด้านพลาสมา สนามแม่เหล็ก และการเร่งอนุภาค เพื่อสร้างแบบจำลองสามมิติของชั้นบรรยากาศและพลาสมา
    รอบดาวอังคาร
  • ภารกิจนี้มีมูลค่ารวม ไม่เกิน 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าประหยัดมากเมื่อเทียบกับภารกิจสำรวจดาวอังคารในอดีตของนาซา
  • เป้าหมายหลักคือการทำความเข้าใจว่าดาวอังคารซึ่งเคยมีน้ำบนพื้นผิว สูญเสียชั้นบรรยากาศไปอย่างไรจนกลายเป็นดาวเคราะห์ที่แห้งแล้งในปัจจุบัน

จรวดนำส่ง New Glenn ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในระหว่างการนำส่งภารกิจ Mars ESCAPADE จาก ฐานปล่อยหมายเลข 36
(Launch Complex 36) Cape Canaveral Space Force Station เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568


แผนการเดินทางและเส้นทางสู่อวกาศ

หลังจากทะยานขึ้นจากพื้นโลก อวกาศยานทั้งสองลำจะถูกส่งไปยัง จุดลากรานจ์ L2 (Earth–Sun Lagrange Point 2) ซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 1.5 ล้านกิโลเมตร เพื่ออยู่ในสภาวะสมดุลทางแรงโน้มถ่วงและรอช่วงเวลาที่เหมาะสม ก่อนที่จะกลับมาเฉียดใกล้โลกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2569 (ค.ศ. 2026) และใช้แรงโน้มถ่วงของโลกในการ “เหวี่ยงตัว” (gravity assist) เพื่อเข้าสู่เส้นทางมุ่งหน้าสู่ดาวอังคาร

เมื่อถึงปลายทางในเดือนกันยายน พ.ศ. 2570 (ค.ศ. 2027) อวกาศยานทั้งสองจะเข้าสู่วงโคจรที่แตกต่างกันรอบดาวอังคาร และปฏิบัติภารกิจทางวิทยาศาสตร์เป็นเวลาอย่างน้อย 11 เดือน โดยศูนย์ควบคุมภารกิจจะอยู่ที่ Space Sciences Laboratory ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์

ความสำคัญทางวิทยาศาสตร์

นักวิทยาศาสตร์คาดว่า ข้อมูลจาก ESCAPADE จะช่วยให้มนุษย์เข้าใจเกี่ยวกับ กระบวนการสูญเสียชั้นบรรยากาศของดาวอังคารมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดาวอังคารในอดีตที่เคยมีน้ำของเหลวบนพื้นผิว กลายเป็นดาวเคราะห์ที่มีบรรยากาศเบาบางในปัจจุบัน

ด้าน Shaosui Xu รองหัวหน้าทีมวิจัยภารกิจดังกล่าว จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ กล่าวว่า

“เราทราบว่าดาวอังคารเคยมีชั้นบรรยากาศหนามากพอจะรักษาน้ำไว้ได้ แต่ปัจจุบันชั้นบรรยากาศเบาบางมาก มีเพียงสองทางที่ชั้นบรรยากาศจะหายไป คือซึมเข้าสู่พื้นผิว หรือหลุดออกสู่อวกาศ ซึ่งข้อมูลที่เราจะได้รับจากภารกิจนี้จะช่วยยืนยันว่าการสูญเสียของชั้นบรรยากาศเป็นปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของดาวเคราะห์นี้”

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับจรวดนำส่ง “New Glenn”

จรวดนำส่ง New Glenn เป็นจรวดขนาดใหญ่แบบหลาย Stage ที่บริษัท Blue Origin พัฒนาขึ้น โดยตั้งชื่อตามนักอวกาศอเมริกัน จอห์น เกล็นน์ (John Glenn)

  • มีความสูงประมาณ 98 เมตร (321 ฟุต)
  • สามารถบรรทุกน้ำหนักได้สูงสุดถึง 45 เมตริกตัน สู่วงโคจรรอบโลกระดับต่ำโลก (Low Earth Orbit)
  • ใช้เครื่องยนต์ BE-4 จำนวน 7 เครื่อง ที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงมีเทนและออกซิเจนเหลว
  • ได้รับการออกแบบให้สามารถ นำกลับมาใช้ซ้ำได้ไม่น้อยกว่า 25 เที่ยวบินต่อบูสเตอร์หนึ่งชุด

ศักยภาพของ New Glenn อยู่ในระดับใกล้เคียงกับจรวด Falcon Heavy ของ SpaceX และเหนือกว่า Vulcan Centaur ของ United Launch Alliance (ULA) โดยจรวดนำส่งรุ่นนี้ถูกพัฒนาเพื่อรองรับทั้ง ภารกิจภาครัฐ ภารกิจเชิงพาณิชย์ และโครงการขนาดใหญ่ของ Amazon (Project Kuiper) ซึ่งมีเป้าหมายสร้างเครือข่ายดาวเทียมอินเทอร์เน็ตทั่วโลก

Payload อื่น ๆ ที่ถูกบรรทุกขึ้นไปในเที่ยวบินที่ผ่านมา

นอกจากยาน ESCAPADE แล้ว ภารกิจครั้งนี้ยังบรรทุก Payload จากบริษัท ViaSat ซึ่งเป็นการทดสอบระบบ InRange Telemetry Relay เพื่อใช้เป็นโครงข่ายสื่อสารระหว่างการนำส่งจรวด (Launch Telemetry Relay) ภายใต้โครงการ NASA Communications Services Project (CSP) โดยเทคโนโลยีดังกล่าวอาจถูกนำไปใช้ทดแทนระบบสื่อสาร TDRS (Tracking and Data Relay Satellite System) ขององค์การนาซาในอนาคต

โดยสรุปแล้ว การนำส่งอวกาศยาน ESCAPADE และการนำบูสเตอร์ของจรวด New Glenn กลับมาลงจอดได้อย่างสมบูรณ์ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของบริษัท Blue Origin และของวงการอุตสาหกรรมอวกาศโลก โดย Blue Origin กลายเป็น บริษัทเอกชนลำดับที่สองของโลก ต่อจาก SpaceX ที่สามารถ
นำจรวดที่ปฏิบัติภารกิจในวงโคจรกลับมาลงจอดได้สำเร็จในภารกิจปฏิบัติการจริง

แหล่งที่มา : https://www.space.com/space-exploration/launches-spacecraft/blue-origin-lands-huge-new-glenn-rocket-booster-for-1st-time-after-acing-mars-escapade-launch-for-nasa



เรียบเรียงโดย

น.ต.ณัฐดนัย วิศิษฏ์โยธิน

Sign in to leave a comment
ออสเตรเลียพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมควบคุมการจราจรทางอากาศระดับโลก